09 กันยายน 2552

จากไทยเข้มแข็งสู่ไทยอ่อนแอ

จากไทยเข้มแข็งสู่ไทยอ่อนแอ

โครงการ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพิ่งกดปุ่มปล่อยเงิน 2 แสนล้านบาท ไปเมื่อวันศุกร์ ที่แล้ว เม็ดเงินกระจุกตัวอยู่แค่ 4 กระทรวงหลัก ของ สองพรรคการเมืองใหญ่ ถูกนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ กลุ่มโพลิซี วอช ค่ายธรรมศาสตร์ ผ่าแผนออกมาวิเคราะห์ ชี้ให้เห็นจุดอ่อนเต็มไปหมด แถมยังไร้ ภูมิคุ้มกันอีกต่างหาก

เป็นการวิเคราะห์เนื้องานล้วนๆ ซึ่งผมขอชื่นชมไว้ตรงนี้ ไม่ใช่วิเคราะห์ เพื่อสอพลอนักการเมืองคนใด เหมือนนักวิชาการมีปลอกคอในช่วงที่ผ่านมา

คุณปัทมาวดี ซูซูกิ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ชี้ว่า ตาม แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข้ง ที่รัฐบาลวางไว้ อาจทำให้ประเทศมีความเสี่ยง และไม่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะต่อไป เพราะ ไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการขยายตัวเศรษฐกิจจากภายในประเทศ

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ยังต้องพึ่งการส่งออกและ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก เมื่อครบ 3 ปี เม็ดเงิน 1.43 ล้านล้านบาท จากโครงการไทยเข้มแข็งหมดไปแล้ว แต่โครงสร้างเศรษฐกิจไทยก็ยังเหมือนเดิม (ต้องพึ่งการส่งออกร้อยละ 70 ของจีดีพี) รัฐบาลใน อนาคตอาจไม่มีรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้ก้อนมหาศาลที่รัฐบาลนี้กู้มาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

การวิเคราะห์ของ อาจารย์ปัทมาวดี ผมเห็นว่า เป็นการวิเคราะห์ที่ตรงเป้า นี่คือสิ่งที่ "ซ่อนเร้น" ไว้ในโครงการเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง 1.43 ล้านล้านบาท นอกจากแผนจะหลวมแล้ว หลายคนสงสัยว่าจะเป็นรายการ "แบ่งเค้ก" เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการเงินให้พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล หรือสร้างความเข้มแข็งให้คนไทยกันแน่ เพราะโครงการที่ใส่เงินลงไปนับล้านล้านบาท ล้วนเป็นการสานต่อโครงการเก่า โครงการใหม่มีน้อยมาก

แต่ที่แน่ๆก็คือ คนไทยส่วนใหญ่ จะตกอยู่ในสภาพ อ่อนแอต่อไป โดยเฉพาะ "เกษตรกร" และ "ภาคการเกษตร" ที่รัฐบาลจะลงทุนหลายแสนล้านบาทภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งเอา "น้ำ" และ "ถนนไร้ฝุ่น" เข้าไปให้เกษตรกร

เรื่องนี้ผมเคยเขียนไปวันก่อนว่า รัฐบาลเอาถนนเอาความเจริญเข้าไปในชนบท เอาความฟุ่มเฟือยต่างๆเข้าไปให้ แต่ไม่เอา "ความรู้" ไม่เอา "วิธีการเพิ่มผลผลิต" ไม่เอา "พันธุ์พืชใหม่ๆ" เข้าไปให้ ทำให้ "เกษตรกร" ต้องตกอยู่ในสภาพยากจนเป็น "รากหญ้า" ต่อไปชั่วนาตาปี ไม่มีโอกาสที่จะเจริญเติบโตขึ้นมาเป็น "ต้นหญ้า" ที่เขียวขจีได้

เช่นเดียวกับการวิเคราะห์ของ อาจารย์ปัทมาวดี ที่บอกว่า งบลงทุนในชุมชน 60,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดเล็กที่ไม่มีการบูรณาการต่อเนื่องกัน การพัฒนาสินค้าโอทอปก็ไม่มี (นอกจากขยันจัดงานโอทอปเพราะส่วนแบ่งกันเองเยอะดี) งบชลประทาน 200,000 ล้านบาท ก็เป็นงบเพิ่มเติมในพื้นที่ชลประทานอยู่แล้ว แต่ งบเพิ่มพื้นที่ ชลประทานใหม่มีน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดเล็ก (เห็นหรือยังว่าเป็นงบใครเข้มแข็งกันแน่)

แต่ งบเพื่อการวิจัยและพัฒนา เพื่อ เพิ่มผลผลิตภาคการเกษตร และ ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่เห็นมีในแผนไทยเข้มแข็งฉบับนี้

ดูแล้วก็สรุปผลได้ไม่ยาก เมื่อครบสามปีตามแผนไทยเข้มแข็ง คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังอ่อนแอต่อไป แต่คนที่จะเข้มแข็งจริงๆจากงบไทยเข้มแข็ง 1.43 ล้านล้านบาทก็คือ นักการเมืองใหญ่ซีกรัฐบาล ที่แบ่งเค้กโครงการกันไป

แล้วทิ้งหนี้ก้อนโต 1.43 ล้านล้านบาทให้คนไทยใช้หนี้ ซึ่ง ดร. พรายพล คุ้มทรัพย์ วิเคราะห์ชัดเจนว่า รัฐบาลจะมีเงินเพียงพอในการใช้หนี้ เศรษฐกิจไทยต้องโตอย่างน้อยปีละ 5 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป แต่ รัฐบาลคาดว่าจะโตแค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เห็นทีคนไทยอาจต้องเจอวิกฤติรอบใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้า จบโครงการไทยเข้มแข็ง ประเทศไทยก็อ่อนปวกเปียกทันที.

"ลม เปลี่ยนทิศ"

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2552
http://www.thairath.co.th/content/pol/31921

08 กันยายน 2552

คำสัมภาษณ์ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร รายการเอ๊กคลูซีฟ




คำสัมภาษณ์ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร รายการเอ๊กคลูซีฟ โดย คุณ จอม เพชรประดับ ทาง FM 100.5 MHz

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ออกอากาศทางวิทยุอสมท. คลื่น 100.5 เมกกะเฮิร์ต ในรายการเอ๊กคลูซีฟ ดำเนินรายการโดยนายจอม เพชรประดับ
โดย ผู้ดำเนินรายการได้สอบถามถึงการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ได้นำเงินจากที่ใดมาดำเนินกิจการเหมืองเพชร หรือมีการฟอกเงินไว้ในรัฐบาลที่แล้ว โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “หลังจากที่ตนออกจากประเทศไทย ก่อนปฏิวัติ มีคนลือว่า ตนขนเงินออกมา 30 กระเป๋าเดินทาง ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีใครทำได้ ขอให้อย่าหลงประเด็น อย่าหลงเชื่อกลุ่มคนที่ปล่อยข่าว หากจำได้ ก่อนหน้านี้ตนเคยซื้อทีมฟุตบอล แล้วก็ขายทีมฟุตบอลแล้วนำผลกำไรมาลงทุนเหมืองเพชร”

ผู้ดำเนินรายการถามว่า มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกอายัดเงินที่ประเทศอังกฤษ
พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวว่า “ตน ไม่มีเงินฝากที่ประเทศอังกฤษ ทั้งหมดเป็นการปล่อยข่าวทำร้ายกัน เมื่อขายทีมฟุตบอลได้เงินมาจำนวนหนึ่งก็เพียงพอจะลงทุนในเหมือง เพราะราคาเองก็ไม่ได้สูงมากมายอะไร”

เมื่อถามว่า การที่ท่านเดินทางเข้าประเทศต่างๆนั้น ต่างประเทศรู้สึกกระอักกระอ่วนใจบ้างหรือไม่
พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวว่า “เขาไม่กระอักกระอ่วนตน แต่เขากระอักกระอ่วนรัฐบาลไทยมากกว่า เขามีอธิปไตยในดินแดนของเขาจะให้ใครอยู่หรือจะให้ใครไปมันเป็นสิทธิ์ของเขา แต่รัฐบาลไทยทำจดหมายถึงทุกประเทศต่างประเทศเขาบอกเขารำคาญ และก็ยังบอกอีกว่าเขารำคาญรัฐบาลไทยยังไม่ต้องมาประเทศเขาก็ดี”

เมื่อถามว่า มีประเทศใดที่เขาบอกว่าท่านไม่ทำตามคำสั่งศาลหรือไม่
พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวว่า “ไม่มี เขาเห็นคำพิพากษากรณีที่ดินรัชดาเขาก็ขำแล้ว มีอย่างที่ไหนคนซื้อไม่ผิดคนขายไม่ผิด แต่มันตลกตรงที่นายกฯเอาบัตรประชาชนไปรับรองให้เมียซื้อที่ดินเขาบอกผิด แต่ที่บุกรุกที่ดินป่าสงวนไม่เป็นไร การเมืองไทยตอนนี้มุ่งแต่ทำลายฝ่ายตรงข้าม”

เมื่อถามว่า มีข่าวว่าท่านมีเครื่องบินส่วนตัวมีบอร์ดี้การ์ดชั้นดี
พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวว่า “ตนไม่มีเครื่องบิน บอร์ดี้การ์ดก็ไม่มี ผมไม่กลัว เกิดมาหนเดียวตายหนเดียว เรื่องอย่างนี้ผมโดนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ไม่เป็นไร”

เมื่อถามว่าจะหันมาร่วมมือกันเพื่อสร้างความสมานฉันท์ปรองดองได้หรือไม่
พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวว่า “ผมพร้อมเจรจากับทุกคน คิดดูขนาดคนอย่างคุณจอมยังติดต่อผมได้ แล้วคนที่มีอำนาจในประเทศจะติดต่อผมไม่ได้หรือ ขนาดคนขับแท็กซี่ ตำรวจชั้นผู้น้อยยังมีเบอร์ผม โทรมาผมผมก็คุยผมคุยกับทุกคน แต่คนเดียวที่ไม่มีเบอร์ผมก็คือ คนในทำเนียบรัฐบาล ยืนยันผมคุยกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นนายกฯหรือรองนายกฯแม้ว่าจะหน้าดำผมก็คุย”

เมื่อถามว่า หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โทรมาหาท่านขอความร่วมมือให้ท่านหยุดเคลื่อนไหวแล้วทุกอย่างจบ
พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวว่า “จะร่วมมือกันอย่างไรบอกมา ตนยินดี จะให้ทำอะไร และรัฐบาลต้องบอกว่าจะทำอย่างไรด้วยเพื่อให้เกิดความปรองดองทุกฝ่าย ไม่ใช่ปรองดองเพียงฝ่ายเดียว ต้องหาจุดร่วมที่เหมาะสมด้วย”

เมื่อถามว่า หากนายกฯบอกว่าท่านต้องกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก่อน
พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวว่า “ต้องถามว่ากระบวนการตอนนี้มันยุติธรรมจริงหรือไม่ และจะกำหนดความยุติธรรมอย่างไร ตนเชื่อว่า ศาลส่วนใหญ่ยุติธรรม แต่ก็มีบางส่วนเท่านั้นที่ถูกแทรกแซง และนายอภิสิทธิ์ก็เข้าไปแก้ไขตรงนี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่รัฐบาลที่มีอิสระอย่างแท้จริง แต่มีคนที่มีอิสระเหนือรัฐบาลเข้าไปแทรกแซง ที่จริงเรื่องที่ถ้าบ้านเมืองมีความสมดุล มีการถ่วงดุลที่ดีบ้านเมืองจะเดินไปได้ แต่ที่มันเป็นอย่างนี้ก็เพราะเพียงต้องการจะล้มตนเท่านั้น ที่จริงเมื่อครั้งนั้นถ้าพูดกับผมดีๆ บอกให้หยุด ให้เลิกเพราะชนะมากไปแล้ว ก็หยุดก็จะวางมือ ไม่ใช่ว่าตนอยากจะอยู่ เพียงแต่ว่าต้องการทำภารกิจที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น ตอนนี้ตนอยู่เมืองนอกก็มีความสุขดี ไม่มีความเครียดอะไร มีคนหาว่าตนไปทำคลีโม แต่หน้าตนตอนนี้ใสมาก”

ที่มา http://www.matichon.co.th/
http://thai.thaksinlive.com/2009/09/now/267?lang=th

26 กรกฎาคม 2552

พระบารมีปกเกล้าฯ

วันนี้ 26 กรกฎาคม 2552

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ครอบครัวของเรา เข้าเฝ้าฯ เป็นการส่วนพระองค์ ณ วังสระปทุม ในโอกาสครบรอบสมรสพระราชทาน 10 ปี (26 กรกฎาคม 2542)

วันนี้แอมกับคิวร่วมเข้าเฝ้าฯ ด้วย หลังจากคิวสอบติดเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ

อาจารย์ประพจน์ (คณบดีอักษรศาสตร์จุฬาฯ) กระเซ้าเรื่อง นิสิตใส่กางเกง/กระโปรง เอวต่ำเป็นแฟชั่น

นิวกราบบังคมทูลว่า "พ่อบอกให้ดึงเอวกางเกงขึ้นอีก แต่ลูกไม่ยอม ลูกบอกไม่ใช่เด็กเนิร์ส"

สมเด็จพระเทพฯ ทรงสงสัยว่าเด็กเนิร์สเป็นอย่างไร

อจ.ประพจน์ เป็นคนถวายคำอธิบายว่าเด็กเนิร์สคืออะไร

สมเด็จพระเทพฯ ทรงรับสั่งถามแอมว่า "เรียนอยู่ปีไหนแล้ว เรียนทำฟันหรือยัง"

21 กรกฎาคม 2552

พระราชดำรัส สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก



วันนี้ขออัญเชิญ พระราชดำรัส สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และพระบิดาแห่งการสาธารณสุขไทย


ไว้เป็นเครื่องเตือนใจบุคคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน อย่าฉกฉวยโอกาสคิดค่ายาค่ารักษาโรคหวัด 2009 จากประชาชนมากจนเกินไป


ขอให้จดจำพระราชดำรัสไว้ให้ขึ้นใจ


โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ก็ควรจะยิ่งต้องปฏิบัติตามพระราชดำรัสอย่างเคร่งครัด ไม่เอาแต่เงินนะท่าน ผอ.


แผนที่ไปร้าน "บ้านพี่เล็ก"


ไปร้าน "บ้านพี่เล็ก" ไปไม่ยากครับ

จากถนนศรีนครินทร์ เลี้ยวตรงแยกศรีนครินทร์ตัดกับอุดมสุข แยกนี้มีสะพานลอยครับ

เป็นสะพานลอยรถข้ามแยก ตามแนวถนนอุดมสุข

เลี้ยวขวา เข้าซอยเฉลิมพระเกียรติ 9 ก่อนถึงซอย 9 สังเกตมีปั๊มบางจาก ถัดจากปั๊มก็เป็น TOP Market

เลี้ยงเข้าซอยไปร้อยเมตร จะเป็นทางแยก ให้เลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวซ้ายตามถนน ตรงเข้าไปอีกประมาณ 200 เมตรก็ถึงร้าน อยู่ทางซ้ายมือครับ

หาไม่ยากครับ

12 กรกฎาคม 2552

วิธีหยุดการระบาดไข้หวัด 2009

วิธีหยุดการระบาดไข้หวัด 2009 โดยไม่ต้องหยุด ไม่ต้องปิด ให้วุ่นวาย
ต้องมีมาตรการการควบคุมผู้ป่วย ผู้แพร่เชื้อ
เพราะผู้ป่วย ผู้ที่เพิ่งจะหายป่วย จะเป็นผู้ที่แพร่เชื้อ
หากไม่ควบคุมผู้ป่วย ผู้ที่เพิ่งจะหายป่วย ก็จะแพร่เชื้อออกไปอีก
การแพร่เชื้อจะกระจายอย่างรวดเร็ว จาก 1 เป็น 10 หรือ 20 หรือ 100 หรือมากกว่า ไม่ใช่ 1 เป็น 2

ทำอย่างไร ?
ทำได้โดย
ประการแรก รัฐบาลต้องรับผู้ป่วยไข้หวัด ทั้งไข้หวัดธรรมดา และไข้หวัด 2009 ทั้งหมดไว้รักษาตัวในโรงพยาบาลทันที
รัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ทุกโรงพยาบาลที่มีความสามารถในการดูแลรักษาผู้ป่วยต้องรับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลทันที
คัดแยกผู้ป่วยไข้หวัดออก และต้องคัดแยกผู้ป่วยไข้หวัด 2009 ออกมาให้ได้โดยเร็ว
เมื่อผู้ป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ก็เท่ากับสามารถควบคุมผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ ไม่ให้ออกไประบาดแพร่เชื้อในที่สาธารณะได้ส่วนหนึ่ง
หากสามารถรับผู้ป่วยผู้ติดเชื้อไข้หวัด 2009 ไว้ในโรงพยาบาลได้ทั้งหมด ก็เท่ากับ ผู้ป่วยผู้ติดเชื้อและผู้แพร่เชื้อ จะอยู่ในการควคุม
รัฐบาลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
รับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสัก 5-7 วัน รอจนหายป่วย พ้นระยะแพร่เชื้อก่อน จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้
สำหรับผู้ป่วยที่ตรวจแล้วไม่ใช่ผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัด 2009 ให้รับรักษาตัวในโรงพยาบาลขั้นแรก เมื่ออาการดีขึ้นอนุญาตให้กลับบ้านได้
แต่ควรให้ไปพักอยู่ที่บ้านอีก 7 วันก่อนไปทำงาน หรือไปเรียน

ประการที่สอง เพื่อสนับสนุนและให้ผู้ป่วยผู้ติดเชื้อมาโรงพยาบาลโดยเร็ว รัฐบาลต้องประกาศให้บุคคลเหล่านั้นมาโรงพยาบาลทันที แม้จะมีอาการเล็กน้อย
ให้มาโดงพยาบาลทันที ประกาศให้ชัดเจนว่ารัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ประกาศให้ผู้ป่วยไข้หวัดที่มารักษาตัว ไม่ถือว่าเป็นวันลา ไม่ถือว่าขาดราชการ
ต้องจำไว้ให้ดีว่าข้อนี้ ต้องการให้ผู้ป่วยมารักษาตัวที่โรงพยาบาลทันทีที่มีอาการ แม้จะมีอาการเพียงเล็กน้อย ก็ต้องรีบรับตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาล
เพื่อควบคุมตัวผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อโดยเร็ว

ประการที่สาม ผู้ป่วยที่หายแล้ว อนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ต้องหยุดอยู่บ้านอีก 7 วัน เพื่อป้องกันการไปแพร่เชื้อ เพราะไม่แน่ว่าเชื้อตายหมดแล้วหรือไม่
นายแพทย์สมบัติ (โรงพยาบาลพญาไท) กล่าวว่า "ผู้ป่วย ต้องรับผิดชอบต่อสังคม"

อีกประการหนึ่ง รัฐบาลต้องให้ประชาชนทั่วไประมัดระวังตนเองให้มากขึ้น ด้วยการใช้หน้ากากปิดปากปิดจมูกเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ

การดำเนินการเหล่านี้ รัฐบาลต้องรีบดำเนินการโดยเร็ว หากชักช้าปล่อยให้ระบาดไปอีก จะควบคุมสถานการณ์ได้ยาก จนไม่สามารถควบคุมได้
รัฐบาลต้องดำเนินการโดยเร็ว

วิธีควบคุมนี้ ยังพอใช้ได้ในสถานการณ์ขณะนี้ หากช้าไปอาจต้องปิดประเทศ ประกาศสภาวะฉุกเฉิน ตายอีกเป็นพันแน่

06 กรกฎาคม 2552

ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009

ถือว่า รัฐบาลสอบตกในการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 อย่างสิ้นเชิง

ทำไม?
ก็เพราะรัฐบาล ไม่สามารถป้องกัน และสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009 ได้เลย ปล่อยให้ระบาดอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่โรคนี้เป็นโรคที่ไม่ได้เกิดขึ้นในบ้านเรา แต่เป็นโรคที่นำเข้า รัฐบาลขาดมาตรการในการควบคุมโรค

รัฐบาลมีเพียง การป้องกันโดยให้ประชานป้องกันตนเอง ซึ่งเป็นการป้องกันแบบบุฟเฟ่ต์
คนป่วย คนแพร่เชื้อ หรือพาหะ ต่างมีอิสระเสรี ไปไหนมาไหนได้ เข้าไปปะปนอยู่ในฝูงชน ในสังคมได้ โดยประชาชนทั่วไปไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครเป็นโรคนี้บ้าง ใครเป็นผู้แพร่เชื้อบ้าง

ทั้งนี้เพราะรัฐบาล ขาดมาตรการในการควบคุมโรค

รัฐบาล ขาดมาตรการในการควบคุมผู้ป่วย

รัฐบาลไม่มีมาตรการในการคัดแยกผู้ป่วย และพาหะนำโรคออกจากสังคม

หากรัฐบาลจริงใจที่จะแก้ปัญหา และหยุดการระบาดของโรค
รัฐบาลต้องมีมาตรการในการควบคุมโรค ควบคุมผู้ป่วย ควบคุมผู้ที่เป็นพาหะนำโรค
เพื่อไม่ให้โรคนี้แพร่กระจายไปอีก

หากสามารถควบคุมโรคได้ การระบาดจะหยุดลงทันที หรืออย่างรวดเร็ว เพราะการกระจายของโรคอยู่ในการควบคุม

รัฐบาล (ที่อ่อนด้อยความสามารถ) จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลย หากทำเพียงเพื่อหาเสียง สร้างภาพ
รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ผู้ป่วยทุกคน
รัฐบาลต้องควบคุมผู้ป่วยทุกคน จนกว่าจะพ้นสภาวะพาหะนำโรค
รัฐบาลต้องรับผู้ป่วยทุกคนเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือสถานที่ที่ควบคุมได้ เพื่อควบคุมการกระจายของโรค
รัฐบาลต้องควบคุมไม่ให้ผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ออกไปภายนอกอย่างน้อย 7 วัน เพื่อติดตามดูอาการ และควบคุมการแพร่กระขายโรค
รัฐบาลต้องควบคุมทุกคนที่เดินทางเข้าประเทศ รวมทั้งนักท่องเที่ยว อย่างน้อย 7 วัน โดยไม่ต้องกลัวว่าการท่องเที่ยวจะเสียหสย เพราะต้องควบคุมโรคให้ได้ หากไม่สามารถควบคุมโรคได้ โรคร้ายนี้ก็จะทำลายการท่องเที่ยวอย่างสิ้นเชิง

มาร์ค ม.7 กับนายวิทยา รมว.สธ. ต้องรับผิดชอบประชาชนที่ป่วยด้วยหวัด 2009
ต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ป่วยทุกๆ คน อย่างนิ่งเฉย

อย่าคิดว่าชีวิตของประชาชนไม่มีค่า แล้วทำเฉยเมย
ประชาชน เขาไม่พูด แต่จดจำเสมอ

ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009

เพียงไม่กี่วัน กี่เดือน ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ก็ระบาดในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว แต่ละวันมีผู้ป่วยติดเชื้อหวัดนี้เริ่มจากไม่กี่คนต่อวัน เพิ่มเป็นหลักสิบ หลักร้อย ต่อวัน ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ก.ค. เพิ่มขึ้นเกือบ 200 คน ในวันเดียว
ก็อยากจะขอเตือนให้ระมัดระวังกันไว้บ้าง แม้ว่ารัฐจะไม่มีมาตรการออกมาดูแลควบคุมโรค แม้ว่าแพทย์ใหญ่แพทย์น้อยบอกอย่าตื่นตระหนก รักษาได้ ไม่อันตราย แต่ก็มีคนเสียชีวิตไปแล้วจากไข้หวัดนี้ 7 ราย และยังอยู่ในขั้นโคม่าอีกอย่างน้อย 3 ราย รมว.สธ. นายกฯ จะสำนึกตระหนักในความรับผิดชอบที่มีหน้าที่ดูและประชาชนมากน้อยเพียงใด
หมอบางคนก็ออกมาพูดปัดความรับผิดชอบไปว่า ไข้หวัดนี้อัตราผู้เสียชีวิตน้อย ไม่ต้องกลัว
แต่ถ้าท่านลองคิดดูนะครับว่า ถ้าผู้ที่ป่วย และเสียชีวิตด้วยโรคหวัดนี้ เป็นลูก เป็นหลาน เป็นญาติพี่น้อง เป็นพ่อเป็นแม่ของท่าน แล้วท่านจะพูดแบบเดิมไหม ท่านจะเสียใจไหม

ชีวิตหนึ่งชีวิต ไม่ว่าจะยากดีมีจน ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นสูงหรือชาวบ้านติดดิน ก็ล้วนแต่มีค่าทั้งนั้น อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่มีค่าต่อครอบครัวของเขาอย่างหาที่ปรียบมิได้ ฉะนั้น รัฐบาลต้องทำงาน ต้องรับผิดชอบมากกว่านี้

14 มิถุนายน 2552

ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009

วันนี้ขอพูดถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 สักหน่อย

ไข้หวัด 2009 นี้ เริ่มเป็นที่รู้จักกันมาก็หลายเดือนแล้ว เริ่มระบาดในเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา ก่อนกระจายไปทั่วโลก ถึงตอนนี้ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็วในระยะเวลานี้ เพิ่มจำนวนผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
แสดงถึงความสามารถในการป้องกัน นโยบายในการควบคุมโรค ที่ไม่เอาไหนของรัฐบาลอภิสิทธิ์

ใจเย็นๆ ครับ คนที่เชลียร์อภิสิทธิ์ อย่าเพิ่งเถียง ผมจะเล่าให้ฟัง

เมื่อประมาณหกปีก่อน เกิดโรคระบาด ชื่อว่าโรคซา เป็นโรคที่อันตรายกว่าไข้หวัด 2009 มากนัก
รัฐบาลนั้น ทำงานทำการป้องกัน ออกมาตรการ นโยบายมาสกัดโรคซา ได้อย่างเป็นรูปธรรม สกัดโรคซาได้อยู่หมัด ไประบาด ไม่ติดต่อในประเทศไทยเลย รัฐบาลนั้นเยี่ยมมาก ต้องชื่นชม

แต่รัฐบาลนี้ (ฝีมือกระจอก) ออกมาตรการป้องกัน รู้ทั้งรู้ว่าโรคไข้หวัด 2009 จะเข้ามาในประเทศไทยได้ก็ต้องเข้ามากับผู้ที่กลับจากต่างประเทศ
ถูกต้องแล้วที่กำหนดให้ที่สนามบิน ต้องมีการสแกนผู้ติดเชื้อ โดยติดตั้งเครื่องเทอร์โมสแกน ตรวจจับความร้อนในร่างกายผู้ป่วย เพื่อสกัดกั้นตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน
แต่ กระทรวงสาธารณสุข ลืมไปว่า โรคหวัด 2009 นั้น อุณหภูมิร่างกายจะไม่สูงเหมือนหวัดใหญ่ทั่วไป
เทอร์โมสแกนก็เลยจับไม่ได้ ปล่อยให้หลุดออกจากสนามบินไปได้ แต่ก็ดีครับรู้จักคิดป้องกันบ้าง

แต่ก็ต้องตระหนักให้ดีว่าเทอร์โมสแกนจะใช้ไม่ได้ผลกับโรคนี้
ฉะนั้น อย่าซื้อเครื่องเทอร์โมสแกนมาอีกให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์เลย

รัฐบาลก่อนนันสกัดโรคซา ใช่เพียงแค่ติดตั้งเทอร์โมสแกน
แต่ยังกำหนดมาตรการอีก โดยให้กักตัวผู้ที่เดินทางกลับมาจากประเทศที่แพร่เชื้ออีก 15 วัน เพื่อดูอาการ

รัฐบาลนี้อยากทำ อยากคิด แต่ทำไปไม่ตลอด
ไม่มีการกักตัวผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ
ปล่อยให้ผ่านออกจากสนามบินไปได้
แล้วก็แพร่เชื้อตามบ้าน ตามโรงเรียน สถานที่สาธารณะต่างๆ

รมว.สธ. กับ ปลัด สธ. น่าจะคิดให้รอบคอบเหมือนรัฐบาลก่อนบ้างนะ

09 มิถุนายน 2552

รับจำนำ - ประกันราคา

สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ แก้ปัญหากันอย่างไง

รัฐบาลอมาตยาธิปไตย คิดและแก้ปัญหา
- รับจำนำสินค้า รับจำนำข้าวสองล้านตัน กี่ปีกี่ปี ก็ทำแบบนี้
- เด็กใหม่หัดขับ เปลี่ยนไปเป็น ประกันราคาสินค้า
- รับจำนำ......
- ประกันราคา.......
ไม่มีความก้าวหน้า ราคาสินค้ากลับตกต่ำลง เกษตรกรขาดทุน

ทำไม ไม่เคยเห็นรัฐบาลอมาตยาธิปไตย ไปหาตลาดสินค้าให้ชาวไร่ ชาวนา เกษตรกร บ้างเลย
หรือว่า ค้าขายไม่เป็น

26 พฤษภาคม 2552

แด่รัฐบาลอำมาตยาธิปไตย


"คิดเป็นแต่กู้ กูคิดถึงทักษิณ"


หาเงินไม่เป็น


"เอาแต่กู้ กูล่ะคิดถึงทักษิณ"


ร.พ.จุฬา VS ร.พ.ตำรวจ

เมื่อวันเสาร์ที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา ผมไปเยี่ยมญาติซึ่งป่วย นอนพักรักษาตัวอยู่ที่ ร.พ.ตำรวจ
ประทับใจมากครับ ประทับใจในความมีน้ำจิตน้ำใจของเจ้าหน้าที่ รปภ.มากๆ
เป็นครั้งแรกครับที่ได้เข้าไป ร.พ.ตำรวจ ด้วยความที่เป็นครั้งแรก ก็เลยไม่รู้ว่าตึกไหนอยู่ที่ไหนอย่างไร
พอผมขับรถเข้าไป ถึงที่จอดรถ มีที่จอดรถก็รีบจอดทันที เพราะกลัวว่าจะไม่มีที่จอดรถเหมือน ร.พ.จุฬาฯ
จริงๆ ร.พ.จุฬาฯ ก็มีที่จอดรถเยอะแยะนะครับ ว่างด้วย โดยเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ แต่ไม่ให้จอด

ผมลงจากรถ ถามเจ้าหน้าที่ รปภ.ร.พ.ตำรวจว่า "ตึกรุจิรวงศ์ อยู่ตรงไหนครับ"
รปภ.ตอบด้วยความมีน้ำใจเต็มเปี่ยมว่า "คุณเอารถมาหรือเปล่าครับ ถ้าเอารถมาขับรถไปจอดที่หน้าตึกดีกว่าครับ ตึกรุจิรวงศ์อยู่ค่อนข้างไกล ขับรถไปดีกว่า จอดรถหน้าตึกได้เลยครับ"
ด้วยความมีน้ำใจของ รปภ.ร.พ.ตำรวจ ทำให้เราไม่ต้องเดินไกล สบายขึ้นเยอะครับ
ไม่เพียงเท่านั้นครับ
พอผมขับรถไปถึงหน้าตึกก็มองหาที่จอดรถ เผอิญว่าที่หน้าตึกมีการก่อสร้าง ที่จอดรถก็เลยไม่ค่อยสะดวก
ผมก็เลยถาม รปภ.ที่หน้าตึกว่า "จอดรถตรงไหนได้ครับ"
รปภ.คนที่ 2 ไม่ตอบ แต่ชี้มือไปทางซ้าย แล้วเดินไปเลื่อนแผงกั้นที่จอดรถของเจ้าหน้าที่ออกให้ พร้อมกับทำสัญญาณให้เข้าจอด
เป็นความประทับใจในน้ำใจของ รปภ.ร.พ.ตำรวจ ที่ควรเอาเยี่ยงอย่าง

คราวนี้ไปดูที่ ร.พ.จุฬาฯ ร.พ.ที่ใช้พระนามาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เป็นชื่อ ร.พ.
วันหยุดราชการ วันเสาร์ อาทิตย์ เจ้าหน้า ร.พ.จุฬา ไม่มาทำงาน เว้นพวกเข้าเวร ที่จอดรถก็เลยว่าง
แต่พวกเราประชาชน ผู้เสียภาษีเป็นเงินเดือนของพวกเจ้าหน้าที่ ร.พ.จุฬาฯ โดยเฉพาะพวกผู้บริหาร ร.พ.จุฬาฯ ยิ่งกินเงินภาษีมากกว่าคนอื่นๆ
เราไปใช้บริการ ร.พ.จุฬาฯ ไปเยี่ยมไข้ผู้ป่วยที่ ร.พ.จุฬาฯ ที่จอดรถที่มีให้จอดสำหรับคนทั่วไปก็มีอยู่ไม่มาก ต้องวนหาที่จอดรถกัน 3-4 รอบ
ก็ไม่ได้ที่จอดรถวนเข้าไปจอดด้านใน ร.พ.ตามตึกต่างๆ ที่จอดรถก็ไม่มี
ไปเจอที่จอดรถว่าง เป็นลานโล่ง ก็จอดไม่ได้ ทาง ร.พ.จุฬาฯ ติดป้ายไว้ว่า "เฉพาะรถที่มีสติกเกอร์"
วนไปที่อาคารจอดรถ รปภ.มันก็บอกว่าจอดไม่ได้ ไม่มีสติกเกอร์
ขอจอดรถสักครู่เดียว ไปเยี่ยมไข้ รปภ.ก็ไม่ให้จอด
ที่จอดรถลานโล่ง อาคารจอดรถก็ว่าง เป็นวันหยุด ไม่มีสุนัข...ไม่มีเจ้าหน้าคนไหนไปใช้ มันก็ไม่ให้จอด
ที่จอดรถ อาคารจอดรถ มันก็สร้างมาจากเงินภาษีอากร เงินของประชาชนที่พวกมันบังคับ ขูดรีดจากค่ารักษาพยาบาลจากประชาชนทั้งนั้น

ไม่ได้เป็นการตำหนิหรอกนะ แต่เอามาเล่าสู่กันฟัง เผื่อไอ้พวกผู้บริหาร ร.พ.จุฬาฯ จะมีความสำนึกบ้าง
ไร้น้ำใจกันอย่างไม่น่าเชื่อเลย ทั้งนาย ทั้งลูกน้อง รปภ.ก็ไร้การอบรม
ขอจอดรถเพียงแค่ขนของขึ้นไปเยี่ยมคนไข้ ยังไร้น้ำใจ

อย่างนี้มันสะท้อนให้เห็นถึง การศึกษาอบรมที่สูง แต่ไม่สามารถ ขัดเกลาจิตใจของคนพวกนี้ได้เลย
ร.พ.จุฬาฯ น่าจะไปดูตัวอย่างดีๆ จาก ร.พ.ตำรวจ หรือ ร.พ.อื่นๆ ดูบ้าง อย่าเห็นแก่เงินจนไร้น้ำใจ
เสียหายถึงชื่อ ร.พ.ที่ใช้พระนามาภิไธย

อย่าแก้ตัวเลย ร.พ.จุฬาฯ แก้ไขดีกว่า ประชาชนจะสรรเสริญ

30 เมษายน 2552

บูดาเปสต์ ฮังการี

26 มีนาคม 2552 ทัวร์เมืองบูดาเปสต์




จัตุรัสเมืองบูดาเปสต์ มีลักษณะคล้ายกับลานพระบรมรูปทรงม้าที่กรุงเทพเลย




สงสัยบูดาเปสต์จะลอกเลียนแบบไปจากเมืองไทย




29 เมษายน 2552

พิพิธภัณฑ์ที่ซูริค


ที่เมืองซูริค เราไปแวะชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทหารของสวิสเซอร์แลนด์
ทัวร์นัดไกด์ไว้สิบโมงเช้าที่พิพิธภัณฑ์ แต่สิบโมงกว่าแล้วไกด์ก็ยังไม่มา รอกันจนหลายคนเริ่มบ่นแล้ว ที่สุดก็ไม่รอไกด์ เราก็เข้าชมในพิพิธภัณฑ์กันเอง นำโดยไกด์ของลอฟฟ์ทัวร์
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้รวบรวมประวัติศาสตร์ด้านการทหาร โดยเฉพาะอาวุธชนิดต่างๆ ของชาวสวิส เพราะพวกเขาคือนักรบ เขาทำเป็นแต่สงคราม รบมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จนปัจจุบัน บรรพบุรุษเป็นนักรบรับจ้างทำสงคราม ฉะนั้นก็จะมีอาวุธชนิดต่างๆ มากมาย ตั้งแต่หอก ดาบ หน้าไม้ จนกระทั่งเป็นปืนในปัจจุบัน ปืนซิกเซาเออร์ที่พวกเรารู้จักก็ของสวิสนะครับ
ไปดูรูปเลยครับ (เขาห้ามถ่ายรูป เราก็ถ่ายมาให้ดู ช่วยโฆษณาให้ ไม่คิดตังค์)

จากพิพิธภัณฑ์เราไปรับประทานอาหรกลางวันที่ร้านอาหารจีน (อีกแล้ว) ที่ร้าน Bamboo มื้อนี้อาหารค่อยมีรสชาติที่อร่อยขึ้นหน่อย ดีกว่าอาหารจีนที่ลูเซิร์นมากครับ

ชมการแสดงของดาราจำเป็น

ชมการสั่นกระดิ่งของมืออาชีพแล้ว
คราวนี้มาชมฝีมือของดาราจำเป็นบ้างครับ
นักแสดงเหล่านี้ถูกคัดเลือกมาโดยเฉพาะนะครับ

การแสดงที่ HOFBRAUHUAS มิวนิค

ชมการแสดง สั่นกระดิ่งของสาวๆ ในร้าน HOFBRAUHUAS ร้านโรงเบียร์ที่เมืองมิวนิค เยอรมัน

28 เมษายน 2552

วันที่ 25 มีนาคม 2552 ลูเซิร์น-ซูริค-บูดาเปสต์ (ฮังการี)

เช้าวันที่ 25 เราออกเดินทางจากลูเซิร์นแต่เช้าเดินทางไปซูริค ซึ่งในตอนบ่ายเราจะต้องจากสวิสเซอร์แลนด์ไปกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี
ประมาณชั่วโมงเศษจากลูเซิร์นเราก็เดินทางมาถึงเมืองซูริค เราไปแวะชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทหารของสวิสเซอร์แลนด์ก่อนเดินทางไปบูดาเปสต์ (ฮังการี)

รถรางไฟฟ้าที่เมืองซูริค




ชาวเมืองซูริคยังใช้จักรยานเป็นพาหนะ
มีที่จอดรถจักรยานด้วยครับ

นี่ก็รถรางไฟฟ้า น่าอิจฉาจัง






สาวๆ บนถรางไฟฟ้ายิ้มให้
ตึกหลังนี้ มุมตึกมีธงชาติไทยด้วย
สงสัยจะเป็นบ้านคนไทย
ออกจากร้านอาหาร เราตรงไปสนามบินซูริคเพื่อขึ้นเครื่องบินไปกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เที่ยวบินนี้ไม่ใช่เทียวบินที่บินตรงไปฮังการีนะครับ เราจะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินฮีทโทร ที่อังกฤษก่อนครับ
ที่สนามบินซูริคนั้น ดูหลายคนค่อนข้างจะชุลมุนวุ่นวายกันมาก ไกด์ลอฟฟ์ทัวร์เพิ่งจะมาบอกก่อนถึงสนามบินว่า กระเป๋าแต่ละใบต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 20 กก. ก็พวกเราหลายคนซื้อของมาเยอะแยะ แพ็คใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เพิ่งจะมาบอก ก็เกินสิครับ ทดลองชั่งน้ำหนักกันก็เกิน ต้องเปิดกระเป๋าออกมาแบ่งใส่กระเป๋าของเพื่อนที่น้ำหนักไม่เกิน เฉลี่ยกันไป วุ่นวายกันพักใหญ่ บางคนก็แบ่งใส่กระเป๋าใบเล็กแล้วหิ้วขึ้นเครื่อง ก็รอดตัวกันไป ไกด์ก็ถูกด่าลับหลับ ก็เพิ่งจะมาบอกเอาตอนนี้

สนามบินซูริค ทันสมัยมาก เครื่องเช็คอินอัตโนมัติมีให้ใช้จำนวนมาก แต่ก็ลำบากเจ้าหน้าที่เพราะพวกเราไม่คุ้นเคย ไม่เคยใช้ คนแรกๆ ที่ใช้เครื่องเช็คอินแล้วก็เลยต้องทำหน้าที่กดเครื่องเช็คอินให้เพื่อนคนหลังๆ ถัดมาด้วย เช็คอินแล้วก็จะได้บัตรขึ้นเครื่อง Boarding Pass แล้วก็ไปส่งกระเป๋า อันที่จริงก็สะดวกดี ไม่ต้องรอพนักงาน สวิสเขาพยายามใช้คนให้น้อยที่สุด จะมีอุปกรณ์เครื่องช่วยอัตโนมัติเกือบทุกอย่าง แม้แต่ในห้องน้ำ

เครื่องเช็คอินอัตโนมัติ ที่สนามบินซูริค


บนท้อ งฟ้าขณะเดินทางไปลอนดอน



ความลำบากที่พวกเราประสบอีกอย่างที่สนามบินซูริคก็คือ ลอฟฟ์ทัวร์แจกอาหารเย็นให้พวกเราเป็นข้าวกล่อง ข้าวไข่พะโล้ พร้อมกับน้ำดื่มคนละขวด มันลำบากตอนเอาสิ่งของเหล่านี้ขึ้นเครื่องครับ เพราะต้องผ่านการตรวจค้นก่อนขึ้นเครื่อง และที่สำคัญเขาห้ามเอาของเหลวทุกชนิดขึ้นเครื่องครับ พอจะผ่านเข้าช่องตรวจหนังสือเดินทาง ที่ประตูก็จะมีจุดให้ทิ้งสิ่งของต้องห้ามขึ้นเครื่อง พวกเราก็ต้องทิ้งมันไว้ที่นั่น แล้วก็เดินเข้าประตูไป ผ่านอิมมิเกรชั่นแล้วก็ต้องเดินลงไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไปยังอีกเทอมินอลหนึ่งเพื่อขึ้นเครื่อง เหมือนขาที่มาถึงซูริคนั่นเลยครับ กว่าจะรูว่าต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปก็เสียเวลาไปมากเลยครับ
แล้วกว่าจะผ่านการตรวจค้นอีก ที่สนามบินซูริคตรวจเข้มมาก แล้วก็ช้ามากด้วย อาจเป็นเพราะผู้โดยสารมาก เข้าแถวรอตรวจยาวเหยียด ผมผ่านการตรวจมาได้ แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่สุ่มเรียกเข้าไปตรวจในห้อง สงสัยว่าหน้าตาเราจะเหมือนพวกบินลาดิน ภูมิใจจัง ตรวจแล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เดินออกมาหยิบของ แต่งตัว เพราะเขาให้ถอดเสื้อนอก ถอดเข็มขัด เอาโน๊ตบุ๊กออกจากกระเป๋า เอาของ กระเป๋าตังค์ออกมาใส่ตะกร้า วุ่นวายจริงๆ ผ่านออกมาได้ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องบินพอดี ไม่ต้องนั่งรอเลยแม้นาทีเดียว ในที่สุดก็เครื่องก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าบินไปอังกฤษตอนบ่ายสามโมงพอดี

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เห็นแก่เงิน

เราเพิ่งไปใช้บริการที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ประสบเหตุมากับตนเอง
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เห็นแก่เงิน ผู้บริหารไร้จริยธรรม
อันนี้ขอยืนยันเลยว่า โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่ใช้พระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ มาเป็นชื่อโรงพยาบาล เห็นแก่เงิน จนลืม พระราชโชวาทของพระมหิตลาธิเบตอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก ไปแล้ว
ผู้บริหารไร้จริยธรรม ไร้... สุดบรรยาย เห็นแก่เห็น ขูดรีดเอากับผู้ป่วย

อยากรู้ว่าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เห็นแก่เงินอย่างไร ติดตามตอนต่อไปครับ

17 เมษายน 2552

อรุณรุ่งที่ลูเซิร์น สวิสเซอร์แลนด์


24 มีนาคม 2552
อรุณรุ่งที่ลูเซิร์น
เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมา มองออกไปนอกหน้าต่างก็มองเห็นหิมะตก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหิมะตก เราเดินทางมาถึงสวิสวันแรกก็สัมผัสกับอากาศที่หนาวเย็น แล้วเมื่อคืนนี้ฝนก็โปรยปรายลงมา พอเช้าก็กลายเป็นหิมะตก พวกเราก็ตื่นเต้นกันใหญ่ ออกไปถ่ายรูปกับหิมะ ผมเองก็เดินไปตามถนนไปริมแม่น้ำ ที่ถนนที่ริมแม่น้ำปรากฏว่าหิมะที่พื้นหนามาก เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่หิมะโปรยปรายลงมา หิมะหนาถึงกว่าสิบเซนติเมตร เหยียบลงไปก็เป็นรอยเท้าเฉอะแฉะไปหมด ตามบ้านเรือนอาคารต่างๆ หิมะขาวโพลนไปหมด มองไปก็ขาวไปหมด

พวกเราได้มีโอกาสสัมผัสกับหิมะก่อนเดินทางขึ้นเขาทิตลิส ซึ่งเป็นยอดเขาสูงยอดหนึ่งที่ชาวสวิสนิยมขึ้นไปเล่นสกีกัน เพราะเขาลูกนี้มีหิมะปกคลุมตลอดปี เขาทิตลิสเป็นเขาลูกหนึ่งอยู่ในเทือกเขาแอลป์ เราตั้งใจจะไปสัมผัสหิมะที่เขาทิตลิส แต่เราก็โชคดีที่ได้สัมผัสหิมะตั้งแต่เช้าที่เมืองลูเซิร์น
ไปดูภาพสนุกสนานกับหิมะที่เขาทิตลิสได้ที่ลิงค์นี้ครับ http://dharachan.blogspot.com/2009/03/blog-post_26.html


ที่เขาทิตลิส หิมะตกหนักกว่าที่เมืองลูเซิร์นอีกครับ เป็นหิมะเม็ดใหญ่ๆ เลย ลมก็แรงด้วย ฝรั่งบอกอากาศเลวร้าย แต่พวกเราชอบมากกก...
หลังจากที่เราสนุกสนานกับหิมะที่เขาทิตลิสกันแล้ว ก่อนลงจากเขาด้วยกระเช้า เราก็รับประทานอาหารกลางวันกันบนเขาทิตลิสนั่นแหละครับ ค่าอาหารที่ทัวรืจองไว้บนเขาตกราว 1,500 บาทต่อคน ครับ

ลงจากเขาทิตลิส เราเดินทางต่อไปยังเมือง Interlaken (อินเตอร์ลาเกน) เรามีโปรแกรมรับประทานอาหารค่ำที่เมืองอินเตอร์ลาเกน เส้นทางจากเขาทิตลิสไปสู่อินเตอร์ลาเกนเป็นเส้นทางจากเขาลูกหนึ่งข้ามเขาผ่านเข้าไปในหุบเขา เส้นทางคดเคี้ยวเหมือนกับเส้นทางไปแม่ฮ่องสอนบ้านเราครับ แต่ว่าสวิสเขาจะเจาะเป็นอุโมงค์ในบางช่วงผ่านทะลุภูเขาเป็นลูกๆ ไปเลย ทำให้ร่นระยะทางได้มาก เส้นทางสวยงาม บางอุโมงค์ยาวถึงห้าหกกิโลเมตรทีเดียวครับ
สองข้างทางที่ผ่านไปเนื่องจากหิมะตกมาตั้งแต่เมื่อคืน สองข้างทางก็จะมีแต่หิมะขาวโพลนไปหมด มีสีดำของต้นไม้ตัดกับหิมะบ้างเพราะหิมะปกคลุมไม่ทั่ว เสาไฟฟ้าก็มีหิมะจับหนาเป็นแถบด้านหนึ่ง หิมะตกขนาดนี้ ถ้าเป็นฝนตกป่านนี้น้ำคงท่วมเมืองแล้วครับ

ประมาณสี่โมงเย็นก่อนถึงอินเตอร์ลาเกน เราก็มาถึงเมืองเบรียนซ์ (Brienz) เป็นเมืองเล็กๆ อยู่ก่อนถึงอินเตอร์ลาเกนประมาณ 20 กม. เมืองนี้อยู่ริมทะเลสาบ มีผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลักเป็นสินค้าประจำเมือง เรียกว่าเป็นสินค้า OTOP ช่างแกะสลักมีฝีมือมาก เดิมทีก่อนที่จะมาเป็นสินค้าไม้แกะสลัก เจ้าของเขามีฝีมือแกะสลักไม้เล่นๆ เป็นของเล่นให้เด็กๆ ต่อมามีคนขอซื้อ ก็เลยแกะสลักไม้ขาย แล้วกิจการก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อย จนปัจจุบันเป็นกิจการค้าไม้แกะสลักที่มีชื่อเสียงมากของสวิสทีเดียว มีช่างไม้แกะสลักไม่มากครับ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง ทั้งร้านมี 3 คนเท่านั้น ประหยัดค่าจ้างได้เยอะ แต่สินค้าแต่ละชิ้นแพงมากๆ เลย แพงกว่าบ้านเรามากครับ เก็บเงินไว้กลับไปอุดหนุนที่เมืองไทยบ้านเราดีกว่า

เบรียน เมืองนี้เป็นเมืองที่มีภูเขาล้อมรอบ อยู่ในหุบเขาติดทะเลสาบ วิวทิวทัศน์ริมทะเลสาบจะสวยงามมาก เราก็ไปถ่ายรูปกัน จะต้องถ่ายรูปแล้วติดทั้งภูเขาและทะเลสาบ ภูเขาก็จะต้องให้เห็นทั้งสามยอดด้วยครับ เราโชคดีที่มาถึงเมืองนี้แล้วแดดออก ทำให้มีแสงสว่างมากพอที่จะมองเห็นยอดเขาได้ ถ่ายรูปแล้วจะสวยงาม
แต่แดดก็อยู่กับเราได้ไม่นาน ประมาณครึ่งชั่วโมงเศษเท่านั้น พายุหิมะดำมืดก็พัดเข้ามากปกคลุมอย่างรวดเร็ว แล้วท้องฟ้าก็มืดมิด หิมะและฝนก็โปรยปรายลงมาแทนที่ พวกเรารีบขึ้นรถเดินทางต่อกันทันที

20 นาทีจากเบรียน เราก็เข้าสู่เมืองอินเตอร์ลาเกน อันที่จริงเมืองอินเตอร์ลาเกนนั้นเป็นเมืองทางด้านการทหาร เป็นยุทธภูมิสำคัญของสวิสเซอร์แลนด์ เป็นเมืองในหุบเขา มีภูเขาสูงเป็นป้อมปราการล้อมรอบทุกด้าน หากข้าศึกจะบุกเข้ามาโจมตีก็จะถูกทหารในเมืองนี้ใช้ยุทธภูมิธรรมชาติที่ได้เปรียบดักซุ่มโจมตีทหารข้าศึกที่ฝ่าด่านธรรมชาติมาด้วยความยากลำบากให้พ่ายแพ้กลับไป
อินเตอร์ลาเกน มีเส้นทางรถไฟสำหรับการลำเลียงทางทหาร ปัจจุบันยังคงใช้ในการคมนาคมขนส่งอยู่ มีสถานีรถไฟถึงสองสถานีในเมืองนี้เมืองเดียว ก็นับว่าเป็นเมืองที่มียุทธภูมิที่ได้เปรียบในทางรับมากที่เดียว มีเส้นทางสายยุทธศาสตร์ทั้งทางบก ทางน้ำตามเส้นทางแม่น้ำ ทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ และยังมีสนามบินด้วย ใกล้ๆ อินเตอร์ลาเกนก็เป็นที่ตั้งของหน่วยกำลังทางอากาศของสวิส เราผ่านมาก็ได้ยินเสียง บ.Fighter ขึ้นฝึกบินด้วยครับ สวิสเซอร์แลนด์นั้นมีสินค้าหลักคือทหารรับจ้าง ชาวสวิสเมื่อก่อนนี้เด็กหนุ่มจะไปเป็นทหารรับจ้างครับ ปัจจุบันทหารสวิสก็ยังถูกจ้างไปดูแลที่รัฐวาติกันด้วยครับ อาชีพหลักของชาวสวิสคือรับจ้างทำสงคราม ฉะนั้นสินค้าหลักของสวิสที่เราพบเห็นจะเป็นมีดพับ ซึ่งเป็นอุปกรณ์เครื่องมือที่ติดตัวไปกับทหารสวิสนั่นเอง มีดพับสารพัดประโยชน์ คุณภาพดี มีชื่อเสียงทั่วโลก

เรามีเวลาเดินเที่ยวสำรวจเมืองอินเตอร์ลาเกนประมาณชั่วโมงครึ่ง แล้วเราก็ไปรับประทานอาหารค่ำแล้วเดินทางกลับลูเซิร์น