30 เมษายน 2552

บูดาเปสต์ ฮังการี

26 มีนาคม 2552 ทัวร์เมืองบูดาเปสต์




จัตุรัสเมืองบูดาเปสต์ มีลักษณะคล้ายกับลานพระบรมรูปทรงม้าที่กรุงเทพเลย




สงสัยบูดาเปสต์จะลอกเลียนแบบไปจากเมืองไทย




29 เมษายน 2552

พิพิธภัณฑ์ที่ซูริค


ที่เมืองซูริค เราไปแวะชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทหารของสวิสเซอร์แลนด์
ทัวร์นัดไกด์ไว้สิบโมงเช้าที่พิพิธภัณฑ์ แต่สิบโมงกว่าแล้วไกด์ก็ยังไม่มา รอกันจนหลายคนเริ่มบ่นแล้ว ที่สุดก็ไม่รอไกด์ เราก็เข้าชมในพิพิธภัณฑ์กันเอง นำโดยไกด์ของลอฟฟ์ทัวร์
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้รวบรวมประวัติศาสตร์ด้านการทหาร โดยเฉพาะอาวุธชนิดต่างๆ ของชาวสวิส เพราะพวกเขาคือนักรบ เขาทำเป็นแต่สงคราม รบมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จนปัจจุบัน บรรพบุรุษเป็นนักรบรับจ้างทำสงคราม ฉะนั้นก็จะมีอาวุธชนิดต่างๆ มากมาย ตั้งแต่หอก ดาบ หน้าไม้ จนกระทั่งเป็นปืนในปัจจุบัน ปืนซิกเซาเออร์ที่พวกเรารู้จักก็ของสวิสนะครับ
ไปดูรูปเลยครับ (เขาห้ามถ่ายรูป เราก็ถ่ายมาให้ดู ช่วยโฆษณาให้ ไม่คิดตังค์)

จากพิพิธภัณฑ์เราไปรับประทานอาหรกลางวันที่ร้านอาหารจีน (อีกแล้ว) ที่ร้าน Bamboo มื้อนี้อาหารค่อยมีรสชาติที่อร่อยขึ้นหน่อย ดีกว่าอาหารจีนที่ลูเซิร์นมากครับ

ชมการแสดงของดาราจำเป็น

ชมการสั่นกระดิ่งของมืออาชีพแล้ว
คราวนี้มาชมฝีมือของดาราจำเป็นบ้างครับ
นักแสดงเหล่านี้ถูกคัดเลือกมาโดยเฉพาะนะครับ

การแสดงที่ HOFBRAUHUAS มิวนิค

ชมการแสดง สั่นกระดิ่งของสาวๆ ในร้าน HOFBRAUHUAS ร้านโรงเบียร์ที่เมืองมิวนิค เยอรมัน

28 เมษายน 2552

วันที่ 25 มีนาคม 2552 ลูเซิร์น-ซูริค-บูดาเปสต์ (ฮังการี)

เช้าวันที่ 25 เราออกเดินทางจากลูเซิร์นแต่เช้าเดินทางไปซูริค ซึ่งในตอนบ่ายเราจะต้องจากสวิสเซอร์แลนด์ไปกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี
ประมาณชั่วโมงเศษจากลูเซิร์นเราก็เดินทางมาถึงเมืองซูริค เราไปแวะชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทหารของสวิสเซอร์แลนด์ก่อนเดินทางไปบูดาเปสต์ (ฮังการี)

รถรางไฟฟ้าที่เมืองซูริค




ชาวเมืองซูริคยังใช้จักรยานเป็นพาหนะ
มีที่จอดรถจักรยานด้วยครับ

นี่ก็รถรางไฟฟ้า น่าอิจฉาจัง






สาวๆ บนถรางไฟฟ้ายิ้มให้
ตึกหลังนี้ มุมตึกมีธงชาติไทยด้วย
สงสัยจะเป็นบ้านคนไทย
ออกจากร้านอาหาร เราตรงไปสนามบินซูริคเพื่อขึ้นเครื่องบินไปกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เที่ยวบินนี้ไม่ใช่เทียวบินที่บินตรงไปฮังการีนะครับ เราจะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินฮีทโทร ที่อังกฤษก่อนครับ
ที่สนามบินซูริคนั้น ดูหลายคนค่อนข้างจะชุลมุนวุ่นวายกันมาก ไกด์ลอฟฟ์ทัวร์เพิ่งจะมาบอกก่อนถึงสนามบินว่า กระเป๋าแต่ละใบต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 20 กก. ก็พวกเราหลายคนซื้อของมาเยอะแยะ แพ็คใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เพิ่งจะมาบอก ก็เกินสิครับ ทดลองชั่งน้ำหนักกันก็เกิน ต้องเปิดกระเป๋าออกมาแบ่งใส่กระเป๋าของเพื่อนที่น้ำหนักไม่เกิน เฉลี่ยกันไป วุ่นวายกันพักใหญ่ บางคนก็แบ่งใส่กระเป๋าใบเล็กแล้วหิ้วขึ้นเครื่อง ก็รอดตัวกันไป ไกด์ก็ถูกด่าลับหลับ ก็เพิ่งจะมาบอกเอาตอนนี้

สนามบินซูริค ทันสมัยมาก เครื่องเช็คอินอัตโนมัติมีให้ใช้จำนวนมาก แต่ก็ลำบากเจ้าหน้าที่เพราะพวกเราไม่คุ้นเคย ไม่เคยใช้ คนแรกๆ ที่ใช้เครื่องเช็คอินแล้วก็เลยต้องทำหน้าที่กดเครื่องเช็คอินให้เพื่อนคนหลังๆ ถัดมาด้วย เช็คอินแล้วก็จะได้บัตรขึ้นเครื่อง Boarding Pass แล้วก็ไปส่งกระเป๋า อันที่จริงก็สะดวกดี ไม่ต้องรอพนักงาน สวิสเขาพยายามใช้คนให้น้อยที่สุด จะมีอุปกรณ์เครื่องช่วยอัตโนมัติเกือบทุกอย่าง แม้แต่ในห้องน้ำ

เครื่องเช็คอินอัตโนมัติ ที่สนามบินซูริค


บนท้อ งฟ้าขณะเดินทางไปลอนดอน



ความลำบากที่พวกเราประสบอีกอย่างที่สนามบินซูริคก็คือ ลอฟฟ์ทัวร์แจกอาหารเย็นให้พวกเราเป็นข้าวกล่อง ข้าวไข่พะโล้ พร้อมกับน้ำดื่มคนละขวด มันลำบากตอนเอาสิ่งของเหล่านี้ขึ้นเครื่องครับ เพราะต้องผ่านการตรวจค้นก่อนขึ้นเครื่อง และที่สำคัญเขาห้ามเอาของเหลวทุกชนิดขึ้นเครื่องครับ พอจะผ่านเข้าช่องตรวจหนังสือเดินทาง ที่ประตูก็จะมีจุดให้ทิ้งสิ่งของต้องห้ามขึ้นเครื่อง พวกเราก็ต้องทิ้งมันไว้ที่นั่น แล้วก็เดินเข้าประตูไป ผ่านอิมมิเกรชั่นแล้วก็ต้องเดินลงไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไปยังอีกเทอมินอลหนึ่งเพื่อขึ้นเครื่อง เหมือนขาที่มาถึงซูริคนั่นเลยครับ กว่าจะรูว่าต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปก็เสียเวลาไปมากเลยครับ
แล้วกว่าจะผ่านการตรวจค้นอีก ที่สนามบินซูริคตรวจเข้มมาก แล้วก็ช้ามากด้วย อาจเป็นเพราะผู้โดยสารมาก เข้าแถวรอตรวจยาวเหยียด ผมผ่านการตรวจมาได้ แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่สุ่มเรียกเข้าไปตรวจในห้อง สงสัยว่าหน้าตาเราจะเหมือนพวกบินลาดิน ภูมิใจจัง ตรวจแล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เดินออกมาหยิบของ แต่งตัว เพราะเขาให้ถอดเสื้อนอก ถอดเข็มขัด เอาโน๊ตบุ๊กออกจากกระเป๋า เอาของ กระเป๋าตังค์ออกมาใส่ตะกร้า วุ่นวายจริงๆ ผ่านออกมาได้ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องบินพอดี ไม่ต้องนั่งรอเลยแม้นาทีเดียว ในที่สุดก็เครื่องก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าบินไปอังกฤษตอนบ่ายสามโมงพอดี

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เห็นแก่เงิน

เราเพิ่งไปใช้บริการที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ประสบเหตุมากับตนเอง
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เห็นแก่เงิน ผู้บริหารไร้จริยธรรม
อันนี้ขอยืนยันเลยว่า โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่ใช้พระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ มาเป็นชื่อโรงพยาบาล เห็นแก่เงิน จนลืม พระราชโชวาทของพระมหิตลาธิเบตอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก ไปแล้ว
ผู้บริหารไร้จริยธรรม ไร้... สุดบรรยาย เห็นแก่เห็น ขูดรีดเอากับผู้ป่วย

อยากรู้ว่าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เห็นแก่เงินอย่างไร ติดตามตอนต่อไปครับ

17 เมษายน 2552

อรุณรุ่งที่ลูเซิร์น สวิสเซอร์แลนด์


24 มีนาคม 2552
อรุณรุ่งที่ลูเซิร์น
เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมา มองออกไปนอกหน้าต่างก็มองเห็นหิมะตก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหิมะตก เราเดินทางมาถึงสวิสวันแรกก็สัมผัสกับอากาศที่หนาวเย็น แล้วเมื่อคืนนี้ฝนก็โปรยปรายลงมา พอเช้าก็กลายเป็นหิมะตก พวกเราก็ตื่นเต้นกันใหญ่ ออกไปถ่ายรูปกับหิมะ ผมเองก็เดินไปตามถนนไปริมแม่น้ำ ที่ถนนที่ริมแม่น้ำปรากฏว่าหิมะที่พื้นหนามาก เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่หิมะโปรยปรายลงมา หิมะหนาถึงกว่าสิบเซนติเมตร เหยียบลงไปก็เป็นรอยเท้าเฉอะแฉะไปหมด ตามบ้านเรือนอาคารต่างๆ หิมะขาวโพลนไปหมด มองไปก็ขาวไปหมด

พวกเราได้มีโอกาสสัมผัสกับหิมะก่อนเดินทางขึ้นเขาทิตลิส ซึ่งเป็นยอดเขาสูงยอดหนึ่งที่ชาวสวิสนิยมขึ้นไปเล่นสกีกัน เพราะเขาลูกนี้มีหิมะปกคลุมตลอดปี เขาทิตลิสเป็นเขาลูกหนึ่งอยู่ในเทือกเขาแอลป์ เราตั้งใจจะไปสัมผัสหิมะที่เขาทิตลิส แต่เราก็โชคดีที่ได้สัมผัสหิมะตั้งแต่เช้าที่เมืองลูเซิร์น
ไปดูภาพสนุกสนานกับหิมะที่เขาทิตลิสได้ที่ลิงค์นี้ครับ http://dharachan.blogspot.com/2009/03/blog-post_26.html


ที่เขาทิตลิส หิมะตกหนักกว่าที่เมืองลูเซิร์นอีกครับ เป็นหิมะเม็ดใหญ่ๆ เลย ลมก็แรงด้วย ฝรั่งบอกอากาศเลวร้าย แต่พวกเราชอบมากกก...
หลังจากที่เราสนุกสนานกับหิมะที่เขาทิตลิสกันแล้ว ก่อนลงจากเขาด้วยกระเช้า เราก็รับประทานอาหารกลางวันกันบนเขาทิตลิสนั่นแหละครับ ค่าอาหารที่ทัวรืจองไว้บนเขาตกราว 1,500 บาทต่อคน ครับ

ลงจากเขาทิตลิส เราเดินทางต่อไปยังเมือง Interlaken (อินเตอร์ลาเกน) เรามีโปรแกรมรับประทานอาหารค่ำที่เมืองอินเตอร์ลาเกน เส้นทางจากเขาทิตลิสไปสู่อินเตอร์ลาเกนเป็นเส้นทางจากเขาลูกหนึ่งข้ามเขาผ่านเข้าไปในหุบเขา เส้นทางคดเคี้ยวเหมือนกับเส้นทางไปแม่ฮ่องสอนบ้านเราครับ แต่ว่าสวิสเขาจะเจาะเป็นอุโมงค์ในบางช่วงผ่านทะลุภูเขาเป็นลูกๆ ไปเลย ทำให้ร่นระยะทางได้มาก เส้นทางสวยงาม บางอุโมงค์ยาวถึงห้าหกกิโลเมตรทีเดียวครับ
สองข้างทางที่ผ่านไปเนื่องจากหิมะตกมาตั้งแต่เมื่อคืน สองข้างทางก็จะมีแต่หิมะขาวโพลนไปหมด มีสีดำของต้นไม้ตัดกับหิมะบ้างเพราะหิมะปกคลุมไม่ทั่ว เสาไฟฟ้าก็มีหิมะจับหนาเป็นแถบด้านหนึ่ง หิมะตกขนาดนี้ ถ้าเป็นฝนตกป่านนี้น้ำคงท่วมเมืองแล้วครับ

ประมาณสี่โมงเย็นก่อนถึงอินเตอร์ลาเกน เราก็มาถึงเมืองเบรียนซ์ (Brienz) เป็นเมืองเล็กๆ อยู่ก่อนถึงอินเตอร์ลาเกนประมาณ 20 กม. เมืองนี้อยู่ริมทะเลสาบ มีผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลักเป็นสินค้าประจำเมือง เรียกว่าเป็นสินค้า OTOP ช่างแกะสลักมีฝีมือมาก เดิมทีก่อนที่จะมาเป็นสินค้าไม้แกะสลัก เจ้าของเขามีฝีมือแกะสลักไม้เล่นๆ เป็นของเล่นให้เด็กๆ ต่อมามีคนขอซื้อ ก็เลยแกะสลักไม้ขาย แล้วกิจการก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อย จนปัจจุบันเป็นกิจการค้าไม้แกะสลักที่มีชื่อเสียงมากของสวิสทีเดียว มีช่างไม้แกะสลักไม่มากครับ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง ทั้งร้านมี 3 คนเท่านั้น ประหยัดค่าจ้างได้เยอะ แต่สินค้าแต่ละชิ้นแพงมากๆ เลย แพงกว่าบ้านเรามากครับ เก็บเงินไว้กลับไปอุดหนุนที่เมืองไทยบ้านเราดีกว่า

เบรียน เมืองนี้เป็นเมืองที่มีภูเขาล้อมรอบ อยู่ในหุบเขาติดทะเลสาบ วิวทิวทัศน์ริมทะเลสาบจะสวยงามมาก เราก็ไปถ่ายรูปกัน จะต้องถ่ายรูปแล้วติดทั้งภูเขาและทะเลสาบ ภูเขาก็จะต้องให้เห็นทั้งสามยอดด้วยครับ เราโชคดีที่มาถึงเมืองนี้แล้วแดดออก ทำให้มีแสงสว่างมากพอที่จะมองเห็นยอดเขาได้ ถ่ายรูปแล้วจะสวยงาม
แต่แดดก็อยู่กับเราได้ไม่นาน ประมาณครึ่งชั่วโมงเศษเท่านั้น พายุหิมะดำมืดก็พัดเข้ามากปกคลุมอย่างรวดเร็ว แล้วท้องฟ้าก็มืดมิด หิมะและฝนก็โปรยปรายลงมาแทนที่ พวกเรารีบขึ้นรถเดินทางต่อกันทันที

20 นาทีจากเบรียน เราก็เข้าสู่เมืองอินเตอร์ลาเกน อันที่จริงเมืองอินเตอร์ลาเกนนั้นเป็นเมืองทางด้านการทหาร เป็นยุทธภูมิสำคัญของสวิสเซอร์แลนด์ เป็นเมืองในหุบเขา มีภูเขาสูงเป็นป้อมปราการล้อมรอบทุกด้าน หากข้าศึกจะบุกเข้ามาโจมตีก็จะถูกทหารในเมืองนี้ใช้ยุทธภูมิธรรมชาติที่ได้เปรียบดักซุ่มโจมตีทหารข้าศึกที่ฝ่าด่านธรรมชาติมาด้วยความยากลำบากให้พ่ายแพ้กลับไป
อินเตอร์ลาเกน มีเส้นทางรถไฟสำหรับการลำเลียงทางทหาร ปัจจุบันยังคงใช้ในการคมนาคมขนส่งอยู่ มีสถานีรถไฟถึงสองสถานีในเมืองนี้เมืองเดียว ก็นับว่าเป็นเมืองที่มียุทธภูมิที่ได้เปรียบในทางรับมากที่เดียว มีเส้นทางสายยุทธศาสตร์ทั้งทางบก ทางน้ำตามเส้นทางแม่น้ำ ทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ และยังมีสนามบินด้วย ใกล้ๆ อินเตอร์ลาเกนก็เป็นที่ตั้งของหน่วยกำลังทางอากาศของสวิส เราผ่านมาก็ได้ยินเสียง บ.Fighter ขึ้นฝึกบินด้วยครับ สวิสเซอร์แลนด์นั้นมีสินค้าหลักคือทหารรับจ้าง ชาวสวิสเมื่อก่อนนี้เด็กหนุ่มจะไปเป็นทหารรับจ้างครับ ปัจจุบันทหารสวิสก็ยังถูกจ้างไปดูแลที่รัฐวาติกันด้วยครับ อาชีพหลักของชาวสวิสคือรับจ้างทำสงคราม ฉะนั้นสินค้าหลักของสวิสที่เราพบเห็นจะเป็นมีดพับ ซึ่งเป็นอุปกรณ์เครื่องมือที่ติดตัวไปกับทหารสวิสนั่นเอง มีดพับสารพัดประโยชน์ คุณภาพดี มีชื่อเสียงทั่วโลก

เรามีเวลาเดินเที่ยวสำรวจเมืองอินเตอร์ลาเกนประมาณชั่วโมงครึ่ง แล้วเราก็ไปรับประทานอาหารค่ำแล้วเดินทางกลับลูเซิร์น