09 กันยายน 2552

จากไทยเข้มแข็งสู่ไทยอ่อนแอ

จากไทยเข้มแข็งสู่ไทยอ่อนแอ

โครงการ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพิ่งกดปุ่มปล่อยเงิน 2 แสนล้านบาท ไปเมื่อวันศุกร์ ที่แล้ว เม็ดเงินกระจุกตัวอยู่แค่ 4 กระทรวงหลัก ของ สองพรรคการเมืองใหญ่ ถูกนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ กลุ่มโพลิซี วอช ค่ายธรรมศาสตร์ ผ่าแผนออกมาวิเคราะห์ ชี้ให้เห็นจุดอ่อนเต็มไปหมด แถมยังไร้ ภูมิคุ้มกันอีกต่างหาก

เป็นการวิเคราะห์เนื้องานล้วนๆ ซึ่งผมขอชื่นชมไว้ตรงนี้ ไม่ใช่วิเคราะห์ เพื่อสอพลอนักการเมืองคนใด เหมือนนักวิชาการมีปลอกคอในช่วงที่ผ่านมา

คุณปัทมาวดี ซูซูกิ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ชี้ว่า ตาม แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข้ง ที่รัฐบาลวางไว้ อาจทำให้ประเทศมีความเสี่ยง และไม่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะต่อไป เพราะ ไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการขยายตัวเศรษฐกิจจากภายในประเทศ

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ยังต้องพึ่งการส่งออกและ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก เมื่อครบ 3 ปี เม็ดเงิน 1.43 ล้านล้านบาท จากโครงการไทยเข้มแข็งหมดไปแล้ว แต่โครงสร้างเศรษฐกิจไทยก็ยังเหมือนเดิม (ต้องพึ่งการส่งออกร้อยละ 70 ของจีดีพี) รัฐบาลใน อนาคตอาจไม่มีรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้ก้อนมหาศาลที่รัฐบาลนี้กู้มาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

การวิเคราะห์ของ อาจารย์ปัทมาวดี ผมเห็นว่า เป็นการวิเคราะห์ที่ตรงเป้า นี่คือสิ่งที่ "ซ่อนเร้น" ไว้ในโครงการเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง 1.43 ล้านล้านบาท นอกจากแผนจะหลวมแล้ว หลายคนสงสัยว่าจะเป็นรายการ "แบ่งเค้ก" เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการเงินให้พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล หรือสร้างความเข้มแข็งให้คนไทยกันแน่ เพราะโครงการที่ใส่เงินลงไปนับล้านล้านบาท ล้วนเป็นการสานต่อโครงการเก่า โครงการใหม่มีน้อยมาก

แต่ที่แน่ๆก็คือ คนไทยส่วนใหญ่ จะตกอยู่ในสภาพ อ่อนแอต่อไป โดยเฉพาะ "เกษตรกร" และ "ภาคการเกษตร" ที่รัฐบาลจะลงทุนหลายแสนล้านบาทภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งเอา "น้ำ" และ "ถนนไร้ฝุ่น" เข้าไปให้เกษตรกร

เรื่องนี้ผมเคยเขียนไปวันก่อนว่า รัฐบาลเอาถนนเอาความเจริญเข้าไปในชนบท เอาความฟุ่มเฟือยต่างๆเข้าไปให้ แต่ไม่เอา "ความรู้" ไม่เอา "วิธีการเพิ่มผลผลิต" ไม่เอา "พันธุ์พืชใหม่ๆ" เข้าไปให้ ทำให้ "เกษตรกร" ต้องตกอยู่ในสภาพยากจนเป็น "รากหญ้า" ต่อไปชั่วนาตาปี ไม่มีโอกาสที่จะเจริญเติบโตขึ้นมาเป็น "ต้นหญ้า" ที่เขียวขจีได้

เช่นเดียวกับการวิเคราะห์ของ อาจารย์ปัทมาวดี ที่บอกว่า งบลงทุนในชุมชน 60,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดเล็กที่ไม่มีการบูรณาการต่อเนื่องกัน การพัฒนาสินค้าโอทอปก็ไม่มี (นอกจากขยันจัดงานโอทอปเพราะส่วนแบ่งกันเองเยอะดี) งบชลประทาน 200,000 ล้านบาท ก็เป็นงบเพิ่มเติมในพื้นที่ชลประทานอยู่แล้ว แต่ งบเพิ่มพื้นที่ ชลประทานใหม่มีน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดเล็ก (เห็นหรือยังว่าเป็นงบใครเข้มแข็งกันแน่)

แต่ งบเพื่อการวิจัยและพัฒนา เพื่อ เพิ่มผลผลิตภาคการเกษตร และ ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่เห็นมีในแผนไทยเข้มแข็งฉบับนี้

ดูแล้วก็สรุปผลได้ไม่ยาก เมื่อครบสามปีตามแผนไทยเข้มแข็ง คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังอ่อนแอต่อไป แต่คนที่จะเข้มแข็งจริงๆจากงบไทยเข้มแข็ง 1.43 ล้านล้านบาทก็คือ นักการเมืองใหญ่ซีกรัฐบาล ที่แบ่งเค้กโครงการกันไป

แล้วทิ้งหนี้ก้อนโต 1.43 ล้านล้านบาทให้คนไทยใช้หนี้ ซึ่ง ดร. พรายพล คุ้มทรัพย์ วิเคราะห์ชัดเจนว่า รัฐบาลจะมีเงินเพียงพอในการใช้หนี้ เศรษฐกิจไทยต้องโตอย่างน้อยปีละ 5 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป แต่ รัฐบาลคาดว่าจะโตแค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เห็นทีคนไทยอาจต้องเจอวิกฤติรอบใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้า จบโครงการไทยเข้มแข็ง ประเทศไทยก็อ่อนปวกเปียกทันที.

"ลม เปลี่ยนทิศ"

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2552
http://www.thairath.co.th/content/pol/31921

ไม่มีความคิดเห็น: